ธนาคารแห่งประเทศไทยจับตานโยบาย “ประชานิยม” กังวลเงินเฟ้อค้างเติ่งขอขึ้นดอกเบี้ยต่อ

ธนาคารแห่งประเทศ 16

ธนาคารแห่งประเทศไทยดูดอก “ขาขึ้น” ต่ออีกระยะ หลังคาดเงินเฟ้อยังค้างอยู่ในขั้นสูง จับตาผู้ประกอบกิจการส่งผ่านเงินลงทุน–ปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ ดูเศรษฐกิจไทยไปต่อได้ ส่งออกดียิ่งขึ้นสิ้นปี ติดตามหลักการประชากรนิยมพรรคการเมืองรีบเงินเฟ้อ

ข่าวการเงิน  นายปลาบปลื้ม ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) สายแผนการการคลัง รายงานในงาน Monetary Policy Forum ครั้งที่ 1 ของปี 2566 ซึ่งมีนักพินิจพิจารณาจากนานัปการสถาบันร่วมเปลี่ยนมุมมองข้อคิดเห็นว่า แนวทางการคลังของ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงเป็นการปรับขึ้นอัตราค่าดอกเบี้ยอย่างค่อยๆเป็น ค่อยๆไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องมาจากคิดว่า ในตอนที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตลอด ยังเป็นเหตุให้กำเนิดความหนืด หรืออัตราเงินเฟ้อของไทยยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดไว้ ถึงแม้เงินเฟ้อทั่วๆไปจะชะลอลงมาอยู่กรอบวัตถุประสงค์ของเงินเฟ้อของ ธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วในเดือน มี.ค.ก่อนหน้านี้“ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงจำต้องจับตาเงินเฟ้อที่คาดว่าจะค้างในระดับที่ค่อนข้างสูงอีกระยะหนึ่ง มิได้น้อยลงไปอยู่ราวกับในตอนก่อนวัววิด-19 เร็วนัก โดยยังคงจำต้องจับตาการส่งผ่านของทุนผลิตภัณฑ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ผ่านมามีการกลั้นเอาไว้ภายในระดับหนึ่งว่าจะมีผลต่อราคาผลิตภัณฑ์เช่นไร ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวดีทำให้ปรับราคาให้เพิ่มขึ้นผลิตภัณฑ์ได้ โดยการทยอยปรับขึ้นดอกของ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ทำให้การปรับราคาให้เพิ่มขึ้นผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับที่ไม่กระทบราษฎรมากมายไป อย่างไรก็แล้วแต่ อาจจะยังไม่อาจจะกำหนดได้แจ่มแจ้งว่าอัตราค่าดอกเบี้ยของไทยจะไปสูงสุดขณะใด สังกัดต้นสายปลายเหตุด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมีในขณะที่คาดคะเนได้รวมทั้งคาดคะเนมิได้”นายยินดี กล่าวว่ากล่าว สำหรับแผนการของพรรคการเมืองเวลานี้ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีแนวนโยบายที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั้น จะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อให้มากขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั้น จำเป็นต้องรอนโยบายจริงที่ออกมาก่อนและก็พินิจพิเคราะห์กันถัดไป โดยในตอนวัววิด-19 แผนการการคลัง รวมทั้งการเงิน ต้องบรรเทาเพื่อใช้เป็นมาตรการสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการติดต่อประสานงานกันที่ดี แต่ว่าเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้น แนวนโยบายการคลังเริ่มถอนคันเร่งเพื่อไปสู่ภาวการณ์ธรรมดา ในช่วงเวลาที่แนวทางการเงินก็เริ่มถอนคันเร่งเหมือนกัน โดยภาพรวมเศรษฐกิจ จำเป็นที่จะต้องแปลงมาดูแลกเปลี่ยนลุ่มบอบบาง และก็ติดตามการปลดปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน รวมถึงผลพวงของดอกต่อประชากรแล้วก็ภาคธุรกิจ

ธนาคารแห่งประเทศ 16

ข่าวการเงิน  สักกะโลก พันธ์ยานุกุล ผู้อำนวยการอาวุโสข้างเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย พูดว่า เศรษฐกิจไทยมีทิศทางขยายตัวมากขึ้น 3.6% ในปีนี้รวมทั้ง 3.8% ในปี 2567 โดยมีภาคท่องเที่ยวแล้วก็การบริโภคภาคเอกชนเป็นแรงส่ง ช่วงเวลาที่การส่งออกผลิตภัณฑ์ มีสัญญาณฟื้นจากที่หดตัวในตอนก่อนหน้า รวมทั้งคาดว่าจะฟื้นแจ้งชัดขึ้น ในตอนช่วงหลังของปี 2566 โดยภาพรวมของการส่งออกปีนี้จะหดตัวจากระยะเดียวกันของปีกลาย 0.7% โดยเหตุที่จำเป็นต้องจับตาเป็น เศรษฐกิจโลกฟื้นช้ากว่าที่คาดจากเงินเฟ้อที่ยังสูง และก็ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งบางทีอาจกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะถัดไป แล้วก็ค่ายังชีพรวมทั้งหนี้สินครอบครัวทำให้เกิดผลเสียต่อความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการบริโภคมากยิ่งกว่าคาดด้านนายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ข้างหลักการการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่า เงินเฟ้อมีลักษณะท่าทางต่ำลงจากที่ประเมินไว้ แล้วก็เริ่มกลับไปสู่กรอบวัตถุประสงค์ในตอนไตรมาส 2 ปี 66 แม้กระนั้นยังจะต้องจับตาโดยอัตราเงินเฟ้อรากฐาน ซึ่งมีการเสี่ยงจากแรงกดดันจากการใช้จ่ายที่มากขึ้นตามการฟื้นฟูสภาพของเศรษฐกิจ การส่งผ่านเงินลงทุนที่บางทีอาจมากขึ้น เพราะผู้ประกอบกิจการพบเจอภาวการณ์ทุนสูงสม่ำเสมอ แล้วก็อาจมีเงินลงทุนนิดหน่อยที่ยังมิได้ส่งผ่านในตอนก่อนหน้า รวมทั้งเงินลงทุนบางจำพวกยังอยู่ในระดับที่ถือว่าสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาพลังงานในประเทศ “ข้อมูลเงินเฟ้อปัจจุบันในเดือน มี.ค.ราคาอาหารสำเร็จรูปยังปรับมากขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาหน้าบางส่วน ตามทุนที่ยังอยู่ในขั้นสูง รวมทั้งยังมีผลิตภัณฑ์แล้วก็บริการนิดหน่อยที่ยังมิได้ส่งผ่านทุนในตอนก่อนหน้า ก็เลยจำเป็นต้องจับตาถัดไป

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : แบงก์ชาติส่งสัญญาณ ยังไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ย เศรษฐกิจฟื้นดันเงินเฟ้อพุ่งต่อ